หนุนผู้ป่วยเบาหวานดูแลเท้า  ป้องกันโรคแทรกซ้อน-ถูกตัด

หนุนผู้ป่วยเบาหวานดูแลเท้า  ป้องกันโรคแทรกซ้อน-ถูกตัด

ากการสำรวจสุขภาพของคนไทย อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป พบว่าแนวโน้มของโรคเบาหวานยังคงสูงขึ้น จากร้อยละ 6.9 คิดเป็นจำนวนประชากร 3,185,639 คน ในปี พ.ศ.2552 เป็นร้อยละ 8.9 หรือประมาณ 5 ล้านคน ในปี พ.ศ.2557 ซึ่งพบในกลุ่มผู้หญิงร้อยละ 9.8 ผู้ชายร้อยละ 7.8 ส่วนกลุ่มอายุที่เป็นโรคเบาหวานมากที่สุด คือช่วง 60-69 ปี เจอร้อยละ 21.9 ในผู้หญิง และร้อยละ 15.9 ในผู้ชายสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ รายงานว่าในปี พ.ศ.2558 ผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกมีจำนวน 415 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 642 ล้านคนในปี พ.ศ.2583 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานจำนวน 5 ล้านคน และปัจจุบันประชากรวัยผู้ใหญ่ 1 ใน 11 คน ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ส่วนในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วยเบาหวานถึงปีละ 2 หมื่นคน แต่ในกลุ่มคนที่เป็นเบาหวานร้อยละ 50 ยังไม่ทราบว่าตัวเองมีเบาหวาน ทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัย จนสูญเสียโอกาสในการทราบว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรีบดำเนินการป้องกันและรักษาผศ.รุ่งศักดิ์  ศิรินิยมชัย            หัวหน้าโครงการการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อสร้างเสริมพฤติกรรมการดูแลเท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล่าว่าเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่บ่อนทอนคุณภาพชีวิต เพราะมักก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น จอประสาทตาเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคไต ความผิดปกติของปลายระบบประสาท และเป็นแผลเรื้อรังที่เท้า เป็นต้นเมื่อลงพื้นที่ทำให้เห็นว่าชาวบ้านถูกปล่อยปละละเลยเรื่องเท้ามานาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ไม่รู้เรื่อง ส่วนเจ้าหน้าที่มีงานหลายด้าน ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเท้าเป็นพิเศษ ผู้ป่วยบางรายถูกตัดนิ้วเท้า ตัดขาจากการเกิดแผลเรื้อรัง จึงนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรม“หลักสูตรการดูแลเท้า” กับ ศ.น.พ.เทพ หิมะทองคำ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ และมูลนิธิเพื่อพัฒนาการบริบาลผู้ป่วยเบาหวาน มาใช้กับผู้ป่วยเบาหวาน แต่ผลที่เกิดขึ้นคือแค่ดูเฉพาะผู้ป่วยไม่ได้ผล ต้องดึงครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ อสม.มาร่วมด้วย  จริงๆ แล้วมีวิธีการง่ายๆ เพียง 9 ขั้น ที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ในชีวิตประจำวัน คือ 1) ตรวจดูเท้าและฝ่าเท้า 2) ตรวจดูซอกนิ้วเท้า 3) ล้างเท้าและฝ่าเท้า 4) ล้างซอกนิ้วเท้า 5) เช็ดเท้ากับฝ่าเท้าให้แห้งหลังจากล้างเท้า 6) เซ็ดซอกนิ้วเท้าหลังการล้างเท้า 7) ทาโลชั่นที่เท้า ยกเว้นซอกนิ้วเท้า ภายหลังจากล้างเท้าและเช็ดให้แห้งแล้ว 8) ตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมที่รองเท้าก่อนสวม 9) สวมรองเท้าที่หุ้มปลายนิ้วเท้าและเท้าก่อนออกจากบ้าน“การที่ อสม.เข้าใจเรื่องเท้ามากขึ้น และนำไปรณรงค์ ให้คำแนะนำกับผู้ป่วยหรือญาติ ช่วยกระตุ้นการดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวานได้เป็นอย่างดี สังเกตได้ว่าการเกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วยลดลง ส่วนที่เคยเป็นแผลเรื้อรังก็ได้รับการดูแลรักษา จนแผลค่อยๆ หาย เหลือแต่ปัญหาหนังตายด้าน ที่ต้องได้รับการขูด ลดความเสี่ยงจากการถูกตัดนิ้วเท้าหรือเท้าได้” ผศ.รุ่งศักดิ์ กล่าวลุงสนอง คำวาส ชายสูงอายุ วัย 73 ปี จากบ้านกอกหม่น หมู่ 5 ต.สันปูเลย เล่าว่า เป็นเบาหวานมา 49 ปี ต้องฉีดอินซูลินเข้าร่างกายทุกวัน แถมเคยวูบหมดสติถึง 4 ครั้ง และมีแผลที่เท้าเรื้อรัง 4-5 ปี เพราะหนังฝ่าเท้าตายด้าน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นไม่พอ จนเกิดหนอง และแผลเน่าเป็นสีดำคล้ำ เกือบถูกตัดนิ้วเท้า โชคดีที่โครงการนี้เข้ามา ทาง ผศ.รุ่งศักดิ์ ได้ช่วยรักษาให้เป็นพิเศษ แผลเน่าเปื่อยที่เป็นอยู่จึงดีขึ้นเรื่อยๆ เหลือแต่เล็บเท้าที่เป็นเชื้อรา และหนังตายด้านที่ต้องขูดเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับกลายเป็นแผลใหม่ขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันทุกวันก็ทำความสะอาดเท้าอย่างพิถีพิถันมากกว่าเดิม และใช้น้ำเกลือแช่เท้าให้นิ่ม ก่อนขูดเล็มหนังและเล็บที่หนากว่าปกติณัฎฐนิช บุญหนัก พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.สต.บ้านกอกหม่น ต.สันปูเลย ผู้รับผิดชอบงานกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) กล่าวว่าความเสี่ยงการเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวาน มักจะมาจากสาเหตุหลัก คือสวมรองเท้าไม่เหมาะสม เดินชนไม่ระมัดระวัง เพราะปลายประสาทเสื่อมไม่ค่อยรู้สึก และขาดความรู้เรื่องการดูแลแผลที่เท้า แม้ว่าจะได้รับคำแนะนำจากหมอ หรือพยาบาลแล้ว แต่ผู้ป่วยมักจะไม่นำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้จึงมีผู้ป่วยในพื้นที่ถูกตัดเท้าไปถึง 4 ราย เมื่อมีโครงการของ สสส.เข้ามา ก็เป็นเหมือน Model Practices ในการดูแลเท้า  ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจน คือคนไข้ใส่ใจเท้ามากขึ้น ความเสี่ยงต่อการมีแผลลดลง ทั้งการดูแลดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต ปลายประสาทจึงเสื่อมน้อยลงวิจิตรา ตันติชวาลวงศ์ ผอ.รพ.สต.บ้านกอกหม่น เล่าเสริมว่า รพ.สต.บ้านกอกหม่น ให้บริการประชาชนในพื้นที่ ต.สันปูเลย 15 หมู่บ้าน และหมู่บ้านจัดสรรอีกหลายแห่ง รวมประชากรกว่า 12,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยเบาหวาน 200 กว่าคน ที่ส่วนใหญ่เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะที่เท้า มีแผลเรื้อรัง เมื่อโครงการนี้เข้ามา ทำให้ผู้ป่วยมีคู่มือและเกิดทักษะในการดูแลเท้า นำกลับไปทำที่บ้านก็มีคนในครอบครัวช่วยดูแล ขณะที่แกนนำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น อสม. จะเข้าไปประสานกับผู้นำหมู่บ้าน เพื่อติดตามอย่างใกล้ชิดอีกทางหนึ่งในส่วนของ รพ.สต.บ้านกอกหม่นเอง เมื่อออกพื้นที่หมู่บ้านต่างๆ ก็จะนำคู่มือในการดูแลเท้าไปเผยแพร่ พร้อมทั้งให้ผู้ป่วยได้ปฏิบัติอย่างถูกวิธี เน้นให้ชุมชน สังคมรับรู้ ตะหนัก และมีส่วนร่วมป้องกัน แก้ไข ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยกลายเป็นคนพิการทุพพลภาพได้แอร์  กันธรรม ประธาน อสม.บ้านสันต้นดู่ หมู่ 2 ต.สันปูเลย บอกว่า หลังจากร่วมอบรมทำความเข้าใจในโครงการแล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะเน้นให้คำแนะนำ เรื่องการดูแลเท้ากับผู้ป่วยเบาหวานเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะโดยการติดตามเยี่ยมบ้าน การออกตรวจเคลื่อนที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก รพ.สต. หรือในงานศพ งานบุญ ช่วยให้ผู้ป่วย และคนใกล้ชิดเกิดความเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลเท้า ซึ่งไม่เพียงแค่ป้องกันโรคแผลเรื้อรังเท่านั้น หากยังทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยกับผู้ป่วย ผู้ป่วยกับ อสม. หรือผู้ป่วยกับเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ส่งผลในเชิงจิตวิทยา เกิดกำลังใจ และความตั้งใจในการดูแลรักษาเท้าเป็นอย่างดีกระแสตื่นตัวยังทำให้กลุ่มคนทำงานได้ต่อยอด ตั้ง“ชมรมรักษ์เท้าผู้ป่วยเบาหวาน ต.สันปูเลย”โดยมีสุรินทร์ จันทร์จริง เป็นประธาน และได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลตำบลสันปูเลย กับกองทุนหลักประกันสุขภาพของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อริเริ่มทำ“โครงการเตือนภัยเบาหวาน” ให้ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานถูกตัดเท้าใน ต.สันปูเลย เป็นศูนย์ และมีความยั่งยืนสืบไป

You may also like

SUN ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในรูปแบบ Hybrid Meeting

จำนวนผู้