มช. ขยายองค์ความรู้นวัตกรรมพลาสมาทางการแพทย์ จัดประชุมวิชาการ “ISHIF 2024” หวังดันเทคโนโลยีพลาสมาไทยก้าวสู่อันดับโลก

มช. ขยายองค์ความรู้นวัตกรรมพลาสมาทางการแพทย์ จัดประชุมวิชาการ “ISHIF 2024” หวังดันเทคโนโลยีพลาสมาไทยก้าวสู่อันดับโลก

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จับมือ Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST)สถาบันชั้นนำระดับ Top 50 ของโลก รวบรวมสุดยอดนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก รวมถึงสถาบันเทคโนโลยีชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อร่วมกันค้นหานวัตกรรมใหม่และการประยุกต์ใช้ในด้านชีวภาพ การดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีพลาสม่า เพื่อผลักดันความร่วมมือด้านนวัตกรรมทางการแพทย์สู่การสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อสังคมในอนาคต

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.67 ที่  NSP Rice Grain Auditorium อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน“The 2nd International Symposium on Sustainable Healthcare Innovation for Future Society 2024” (ISHIF 2024) ซึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST) สถาบันชั้นนำระดับ Top 50 ของโลก จัดโครงการขับเคลื่อนความร่วมมือโดยมุ่งเน้นสาขาการแพทย์ สุขภาพ และเทคโนโลยีพลาสมา ระหว่างไทยและต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐเช็ก เยอรมัน และไต้หวัน ร่วมกันจัดขึ้นภายใต้โครงการการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือด้านวิชาการระหว่าง Korea Advanced Institute Science and Technology (KAIST) และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในระหว่างวันที่ 1 – 2 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือด้านการทำวิจัยในสาขานวัตกรรมการแพทย์ สุขภาพและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมา โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มช. ในฐานะคณะดำเนินงานหลัก กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารสถาบัน KAIST นำโดย Prof.Wonho Choe ผู้ร่วมก่อตั้งงานประชุมวิชาการ และ Prof. Man Sang Yim รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ให้เกียรติกล่าวแนะนำ สถาบัน KAIST ด้วย

ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดี มช. กล่าวว่า เทคโนโลยีนวัตกรรมในปัจจุบัน มีบทบาทสำคัญและสร้างประโยชน์ในการดำเนินชีวิตให้มีความสะดวกสบายขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยทำให้สามารถรับมือกับโรคต่าง ๆ ได้มากขึ้น และยิ่งไปมากกว่านั้นยังมีการนำเทคโนโลยีพลาสม่ามาประยุกต์ใช้งานด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยการจัดงานประชุมวิชาการ ISHIF 2024  ในครั้งนี้ ได้รวบรวมสุดยอดนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก อีกทั้งสถาบันเทคโนโลยีชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสในการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อร่วมกันค้นหานวัตกรรมใหม่และการประยุกต์ใช้ในด้านชีวภาพ การดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีพลาสม่า ซึ่งนำไปสู่การผลักดันความร่วมมือด้านนวัตกรรมทางการแพทย์สู่การสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อสังคมในอนาคตต่อไป

ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มช. ในฐานะคณะดำเนินงานหลัก กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสถาบันชั้นนำระดับนานาชาติ อาทิ สถาบันชั้นนำจากสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST), Sungkyunkwan University, Seoul National University และ Yonsei University (Mirae Campus), Ming Chi University of Technology, Taiwan, University of Kiel, Germany, University of West Bohemia, Czech Republic และ Universiti Malaysia Perlis, Malaysia เป็นต้น เพื่อการบูรณาการศาสตร์ความรู้ที่หลากหลาย และยกระดับการวิจัยด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ชีวภาพและเทคโนโลยีพลาสมาของไทยสู่การสร้างนวัตกรรมระดับโลกจากความร่วมมือระหว่างสถาบันดังกล่าว ซึ่งนำไปสู่การจัดงานประชุมวิชาการ ISHIF 2024  ในครั้งนี้

โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสัญชาติเข้าร่วมเสวนาและบรรยายพิเศษ กว่า 30 คน นำโดย Prof. Chan Beum Park, Prof. Dr. Choongsik Bae, Prof. Nipon Theera-Umpon, Prof. Dr. Holger Kersten จากมหาวิทยาลัยคีล เยอรมัน, Prof. Dr. Pavel Baroch จากมหาวิทยาลัยเวสต์โบฮีเมีย สาธารณรัฐเช็ก, Dr. Seungmin Ryu พร้อมด้วย ผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ รองอธิการบดี มช. ผู้เชี่ยวชาญจากไทย ร่วมบรรยายในหัวข้อ “การจุดประกายด้านนวัตกรรม: เส้นทางจากงานวิจัยสู่ตลาดเทคโนโลยีพลาสมาของไทยกับศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสมา (Sparking Innovation: The Journey from Research to Market in Thai Plasma Technology with the Plasma Thailand Consortium)” รวมถึงนักวิจัยท่านอื่น ๆ จาก KAIST และสถาบันพลังงานฟิวชันของเกาหลี (Korea Institute of Fusion Energy: KFE) ต่อเนื่องด้วยกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก นำไปสู่การพัฒนาต่อยอดโครงการวิจัยและยกระดับความเข้มแข็งของเครือข่ายระหว่างประเทศด้านการแพทย์ สุขภาพและเทคโนโลยีพลาสมาให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนเพิ่มโอกาสการขยายความร่วมมือกันในอนาคต 

และด้วยความร่วมมือนี้ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ในฐานะส่วนงาน มช. และผู้ดำเนินการโครงการ เชื่อมั่นว่า การจัดการประชุมวิชาการที่รวบรวมนักวิจัยระดับนานานาชาติครั้งนี้ จะเกิดความร่วมมือการต่อยอดงานวิจัยในสาขานวัตกรรมการแพทย์ สุขภาพและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมาจำนวนมากขึ้น อีกทั้งจะเกิดเป็นศูนย์รวมนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ “Hub of Talents” สำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการแพทย์อย่างยั่งยืนในสังคมอนาคต โดย STeP มีการนำกลไกการสร้างนวัตกรรมแบบเปิด (Open innovation) ที่ผสมผสานองค์ความรู้ทั้งภายในและภายนอกสถาบันการศึกษา มาผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรม ออกสู่ภาคอุตสาหกรรมและระดับโลก การเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ผ่านโครงการดังกล่าวในครั้งนี้ มีส่วนอย่างยิ่งในการพัฒนาการทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมด้านการแพทย์ ชีวภาพ และเทคโนโลยีพลาสมา ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม.

You may also like

บสย. รุกโมเดล “SMEs Digital Gateway” ปั้น 11 สาขาภูมิภาคสู่ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน

จำนวนผู้