ช็อค!ผลวิจัยพบผักในอาหารกลางวันโรงเรียนปนเปื้อนสารเคมีเกือบ100%

ช็อค!ผลวิจัยพบผักในอาหารกลางวันโรงเรียนปนเปื้อนสารเคมีเกือบ100%

เชียงใหม่ / มูลนิธิการศึกษาไทย แฉผลวิจัยตรวจหาสารตกค้างในอาหารกลางวันโรงเรียน พบสารเคมีในผัก ผลไม้ เกือบ 100% ซ้ำในปัสสาวะครู-นักเรียน จาก 4 จังหวัด ทั่วทุกภาค มีสารออร์กาโนฟอสเฟต ถึง 99% ชี้กระทบต่อร่างกาย-สมอง-อารมณ์-ประสาทสัมผัส หนุน ศธ.เร่งแถลงนโยบายอาหารกลางวันโรงเรียนที่มีคุณภาพและปลอดภัย  นายมารุต จาติเกตุ เลขาธิการมูลนิธิการศึกษาไทย เปิดเผยถึงผลการวิจัย โครงการ “การจัดการสารเคมีในระดับท้องถิ่น และการส่งเสริมการบริโภคอาหารกลางวันที่ปลอดภัย” ใน 55 โรงเรียน จาก 4 จังหวัดคือเชียงใหม่ 20 แห่ง ปทุมธานี 11 แห่ง สกลนคร 12 แห่ง และพังงา 12 แห่ง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2560-ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์กร The Field Alliance มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ Greenpeace Thailand ว่า

โครงการนี้ได้ออกแบบ ไว้ 3 เรื่องหลักๆ คือ การทำวิจัยเพื่อดูสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็ก แล้วนำข้อมูลป้อนให้กับชุมชนและโรงเรียน เพื่อให้เกิดการปกป้องนักเรียนจากผลกระทบของสารเคมี  นอกจากนี้ยังทำรูปแบบจัดสร้างอาหารปลอดภัยเข้าโรงเรียน โดยอบรม โรงเรียน ผู้ผลิต เกษตรกร กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ รวมถึงชาวบ้านที่อยู่ใกล้โรงเรียน เมื่อโรงเรียนต้องการพืชผัก จะทำอย่างไร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ทำนโยบายควบคู่กันไปด้วย ตั้งแต่ระดับโรงเรียน ขึ้นมาในระดับยุทธศาสตร์จนถึงระดับกระทรวง“ผลจากการตรวจหาสารตกค้างในอาหารกลางวันโรงเรียน ในผักที่โรงเรียนใช้มากที่สุดและบ่อยที่สุด 5 ชนิด  4 ภาค พบว่าเด็กทุกภาคกินผักเหมือนกันเกือบทุกชนิด เช่น แครอท กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง คะน้า มะเขือเจ้าพระยา มะเขือเทศ และในการตรวจ ได้ส่งเข้าห้องแลป และตรวจแค่ 2 กลุ่ม คือ ออร์กาโนฟอสเฟต กับ พัยรีธรัม เพราะได้สำรวจชาวบ้านแล้วว่าเขาใช้อะไรบ้าง ปรากฏว่ามีการใช้ ออร์กาโนฟอสเฟตมากในผักกับผลไม้ โดยเฉพาะผักที่ส่งตรวจ 5 ชนิด พบเกือบ 100% และสารที่พบมากที่สุดคือคลอร์ไพริฟอส แต่พัยรีธรัม  ก็ใช้มากพอๆ กับคาร์บาเมต คือ 92%” เลขาธิการมูลนิธิการศึกษาไทย กล่าว

ที่น่าตกใจคือมีการตรวจปัสสาวะด้วย ทั้งนักเรียนและครู จำนวน 436 ตัวอย่างใน 4 จังหวัด พบออร์กาโนฟอสเฟต ในปัสสาวะถึง 99% ของจำนวนตัวอย่าง ซึ่งสารออร์กาโนฟอสเฟต ก็คือสารที่มีฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทรอบนอก โดยจะจับตัวกับเอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรส ที่มีหน้าที่ส่งสัญญาณประสาทหยุดการทำงาน ผลการจับตัวกับเอ็นไซม์ทำให้ปริมาณของอ็นไซม์ลดลง และมีผลต่อกล้ามเนื้อ รวมถึงต่อมต่างๆ และกล้ามเนื้อเรียบ ที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ ในการทำงานมากกว่าปกติ เนื่องจากปริมาณเอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรสมีไม่มากพอที่จะหยุดการทำงาน จึงพบอาการม่านตาหรี่ หายใจลำบาก เวียนศีรษะ อาเจียน มือสั่น เดินโซเซ ชัก หมดสติ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดตะคริวที่กล้ามเนื้อ ต่อมต่างๆ รวมถึงทำให้ต่อมน้ำลายขับน้ำลายออกมามาก ต่อมเหงื่อก็ขับเหงื่อออกมามากเช่นกันผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อเด็กได้รับสารเคมีในปริมาณมาก ก็คือเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ เช่น มีความพิการทางสมอง ร่างกาย นิ้วมือและนิ้วเท้าเกินหรือขาด ทั้งยังเป็นพิษต่อระบบสมอง เกิดผลต่อระบบประสาท ทำให้พัฒนาการค่อนข้างล่าช้ากว่าเด็กปกติ บางรายอาจเป็นโรคออทิสติก หอบหืด สมาธิสั้น การผิดปกติทางด้านอารมณ์ อาทิ โรคซึมเศร้า เป็นต้น

“เป็นเรื่องที่ต้องฝากทาง สสส.ว่าเราคงต้องทำงานหนักกว่านี้ ขณะเดียวกันในการทำวิจัยครั้งนี้ ตรวจแค่กลุ่ม OP  ซึ่งจริงๆแล้วควรตรวจให้ครบทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ ได้ส่งกลับ ให้กับทางผู้ปกครองและโรงเรียน ทำให้โรงเรียนในโครงการ ปรับเปลี่ยนเมนูบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงผักที่ปลูกเชิงพาณิชย์ หันมาเน้นผักพื้นบ้านแทน นอกจากนี้ยังมีการอบรมเรื่องการปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน ก็พบว่าโรงเรียนมีการใช้สารปรุงแต่งมาก เมื่อมีการอบรมก็ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของการขับเคลื่อน  เช่น ที่สกลนคร มีนายอำเภอที่เข้มแข็ง  จึงผลักดัน  เกือบทุกโรงเรียนในอำเภอให้เข้าสู่การผลิตที่ปลอดภัย แต่ในระดับจังหวัด ยังไม่เห็น แม้ว่าทางผู้ว่า ทั้ง 4 จังหวัด จะส่งคนมาร่วมตลอด แต่ยังไม่มีการชูธง” นายมารุต กล่าวจากข้อมูลนี้ ทางมูลนิธิจึงได้ทำข้อเสนอแนะ ให้กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทางกรรมการเห็นด้วยหมด และตอนนี้กำลังทำรายงานเสนอรัฐมนตรี  เราจึงรอกระทรวงแถลงแผนการ นโยบายอาหารกลางวันโรงเรียน  แต่โดยหลักแล้ว คือต้องการให้โรงเรียนปลอดสารเคมี อาหารกลางวันโรงเรียนปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่แค่ผักผลไม้อย่างเดียว เนื่องจากตรวจเจอฟอร์มาลีน  บอแรกซ์ ในเนื้อสัตว์ ลูกชิ้น ไส้กรอกด้วย ฉะนั้นต้องมีรูปแบบการผลิตที่ปลอดภัย ซึ่งตรงนี้รู้สึกเป็นห่วง เพราะทันทีที่กระทรวงศึกษาประกาศออกไป ถามว่าโรงเรียนจะไปซื้อวัตถุดิบปลอดภัยจากที่ไหน ถือเป็นโจทย์ที่หลายโรงเรียนกลุ้มใจทำไม่ได้ แต่เป็นนโยบายที่ดี ดังนั้นทุกฝ่ายต้องทำงานกันอีกมาก

ทั้งนี้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีประมาณ 30,000 แห่ง ถ้ารวมเอกชนและวิทยาลัยด้วยก็ประมาณ 50,000 ถึง 60,000 แห่ง เหล่านี้คือตลาดที่จะเกิดขึ้น ถ้านโยบายนี้ออกไป ก็ต้องมีคนผลิตเข้ามา โชคดีที่ขณะนี้ ทางมูลนิธิชีววิถี (Biothai) มีแผนเรื่องเกษตรอินทรีย์ 20 จังหวัด ถ้ามาร่วมมือกันได้ก็จะช่วยได้อีกระดับหนึ่ง.

You may also like

builds มช. ขนทัพสตาร์ทอัพนักศึกษาคับคั่ง พิสูจน์ความสำเร็จ ตั้งบริษัทจริงระหว่างเรียน

จำนวนผู้