เฉพาะวันเดียวที่”บิ๊กป้อม”มาแจ้งความ 33 คดีใน 10 อำเภอ หลายภาคส่วนเร่งขับเคลื่อนตามนโยบาย

เฉพาะวันเดียวที่”บิ๊กป้อม”มาแจ้งความ 33 คดีใน 10 อำเภอ หลายภาคส่วนเร่งขับเคลื่อนตามนโยบาย

ทุกภาคส่วนเร่งแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าในภาคเหนืออย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรองนายกฯ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ด้านผู้ว่าย้ำให้เร่งสืบสวนดำเนินคดีกับผู้ลักลอบเผาอย่างเด็ดขาด เฉพาะเมื่อวาน(9 เม.ย.)แจ้งความแล้ว 33 คดีใน 10 อำเภอ 

วันนี้ (10 เม.ย.63) เวลา 09.00 น. พลตรีจิรเดช กมลเพ็ชร รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นท์ ร่วมกับตัวแทน 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ณ กองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้พบว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายขึ้น จุดความร้อนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในเช้าวันนี้พบจุดความร้อนในจังหวัดเชียงใหม่เพียง 88 จุด อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 58 จุด ป่าอนุรักษ์ 29 จุด และเขต สปก. 1 จุด ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำให้ชุดรณรงค์ไฟป่าและหมอกควัน 14 ชุด ใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ลงพื้นที่สร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ให้ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์จากป่าโดยไม่เผาป่า รวมทั้งเข้าฟื้นฟูป่าพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐ และทหารในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นไปตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวานนี้

ด้าน นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพลเอกอำนาจ รอดสวัสดิ์ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกให้ดูแลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันของจังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมการประชุมกับคณะทำงานศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งมีการเรียกประชุม 5 อำเภอที่มีจุดความร้อนมากที่สุดในเช้าวันนี้ คือ อำเภออมก๋อย กัลยานิวัฒนา ฮอด แม่แตง แม่แจ่ม เข้าประชุมร่วมผ่านระบบ VDO Conference เพื่อเร่งติดตามการแก้ไขและปรับแผนการดำเนินงาน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เน้นย้ำให้ทุกอำเภอ เฝ้าระวังป้องกันไม่ให้คนเข้าไปในพื้นที่ป่าอีก และเมื่อพบจุดฮอทสปอทขึ้นให้เร่งดับไฟ และจัดทีมสนับสนุนเข้าตรวจสอบหลักฐานการกระทำผิดทันที โดยต้องใช้การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้มีการผ่อนผันให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ หากเกิดไฟจะต้องเร่งดำเนินคดีโดยไม่จำเป็นต้องรอให้เจอตัวผู้ต้องหา เพราะถ้าหากเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ผ่อนผันให้คนใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน ให้เชิญเจ้าของที่ครอบครองที่ถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยมาได้ทันที หากไม่ทำจะถือว่าเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งจะต้องทำควบคู่กับสร้างการรับรู้เรื่องการเผาให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ การแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวานนี้ 33 คดี จาก 10 อำเภอ รวมตั้งแต่วันที่ประกาศห้ามเผาในที่โล่งเด็ดขาดรวมทุก พ.ร.บ. (10 ม.ค. – 10 เม.ย.63) จำนวน 998 ราย แยกเป็น สาธารณสุข 29 ราย แยกเป็น จับกุม 22 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน 7 ราย ป่าไม้ 878 ราย แยกเป็น จับกุม 27 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน 851 ราย จราจร 91 ราย ล่าสุดจากการออกตรวจลาดตระเวน เพื่อป้องกันการเผาป่าและตรวจสอบการบุก​รุกฟื้นที่ป่า ได้จับกุมผู้ต้องหาได้ที่อำเภอจอมทองพร้อมของกลางไฟแช๊ค อยู่ระหว่างสืบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติมดำเนินคดี และที่อำเภอเชียงดาว ได้แจ้งความผู้ลักลอบเผาป่า​ ยังไม่พบตัวผู้​กระทำผิด โดยอยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดี

ทั้งนี้ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า นโยบายที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้กล่าวมานั้น ถือว่าชัดเจนดี หากขาดแคลนสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ อากาศยาน ให้รีบแจ้งจะได้นำเรียนผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเข้าใจว่าแต่ละพื้นที่ที่เกิดไฟป่านั้นมีความยากลำบาก ไฟที่เกิดเป็นภูเขาสูงชัน ยากต่อการเข้าไปดับได้ทันที จึงต้องขอความมือจากทุกฝ่ายบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าในเชียงใหม่อย่างเต็มกำลังจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายต่อไป.

You may also like

บสย. จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา โครงการ “บสย. ร่วมใจ ทำดี เพื่อสังคม” ครั้งที่ 2 ร่วมซ่อมแซม ทาสี เครื่องเล่นเด็ก ปลูกต้นไม้ ณ สวนสมเด็จสราญราษฎร์มณีรมย์

จำนวนผู้