เชียงใหม่ / ตำรวจ ปทส.ลุยจับรีสอร์ทรุกป่าสงวนฯ เชียงดาว ชาวบ้านอ้างทำในนามกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เตรียมรวบรวมหลักฐาน แจ้งความดำเนินคดี
เมื่อวันที่ 20 ก.พ.63 พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ ตชด.33 ตำรวจ สภ.เชียงดาว เจ้าหน้าที่ป่าไม้ หน่วยป้องกันรักษาป่าเชียงดาว กว่า 50 นาย เข้าตรวจสอบรีสอร์ท “1348@สันป่าเกี้ยะเชียงดาว” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพราะได้รับการร้องเรียนว่า มีการลักลอบสร้างรีสอร์ทในพื้นที่สนามกีฬา ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้าน และยังตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาวด้วย
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบมีบ้านพัก 4 หลัง ปลูกอยู่บนเนินเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,348 เมตร มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ และมีดอยหลวงเชียงดาวเป็นฉากหลัง โดยบ้านทั้ง 4 หลัง ได้มีการรื้อถอนโครงสร้าง เช่น หลังคา ผนังบ้าน มีเศษวัสดุกองอยู่ ขณะเดียวกันยังมีอาคารที่คาดว่าจะเป็นสำนักงาน และห้องน้ำอีกประมาณ 7- 8 ห้อง ปลูกอยู่อีกฝั่งของสนามกีฬา แต่ไม่พบเจ้าของรีสอร์ท หรือพนักงาน อยู่ภายในรีสอร์ทแห่งนี้ เจ้าหน้าที่จึงเข้ารังวัดและตรวจสอบบ้านพักทั้ง 4 หลัง รวมทั้งอาคารสำนักงาน เพื่อเปรียบเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียม ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมาย
พ.ต.อ.ศานุวงษ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนว่า มีการบุกรุกพื้นที่สร้างบ้านพักและรีสอร์ทเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบก็พบว่า นอกจากจะเป็นสนามกีฬาของหมู่บ้าน ยังอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาวด้วย และจากการสืบสวนและเก็บข้อมูลมาได้ระยะหนึ่ง พบว่ารีสอร์ทแห่งนี้เปิดให้บริการมาประมาณ 1 ปีเศษแล้ว ทั้งที่ตามกฎหมายไม่สามารถดำเนินการได้เพราะแม้จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางของชุมชน แต่มีการนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยการสร้างบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยวและคิดค่าใช้บริการหลังละ 1 – 2 พันบาทด้วย
ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนว่า รีสอร์ทดังกล่าวเป็นของใคร แต่จากการสอบสวน มีหลายฝ่ายกล่าวอ้างว่าฃทำในนามของวิสาหกิจชุมชน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกต่อไป
พ.ต.อ.ศานุวงษ์ ระบุว่า พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ดอยหลวงเชียงดาว มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และอากาศเย็นสบายตลอดทั้งวัน
ขณะที่ชาวบ้านรายหนึ่ง อ้างว่าไม่ทราบเป็นรีสอร์ทของใคร รู้เพียงว่ากลุ่มชาวบ้านได้รวมลงทุนกันเท่านั้น.
