คาดเริ่มปรับปรุงสนามบินเชียงใหม่(เดิม)ในปี69 ใช้เวลา 5 ปีรองรับผู้โดยสาร 16.5 ล้านคนรองรับเที่ยวบิน 31 เที่ยวต่อชม.

คาดเริ่มปรับปรุงสนามบินเชียงใหม่(เดิม)ในปี69 ใช้เวลา 5 ปีรองรับผู้โดยสาร 16.5 ล้านคนรองรับเที่ยวบิน 31 เที่ยวต่อชม.

ผอ.ท่าอากาศยานเชียงใหม่เผยโครงการพัฒนาสนามบิน(เดิม) ทั้งสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศใหม่และปรับปรุงอาคารเดิมคาดเริ่มได้ในปี 69 กำหนดเสร็จภายใน 5 ปี รองรับผู้โดยสารได้ 16.5 ล้านคน รองรับเที่ยวบินได้ 31 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ยอมรับห่วงการจราจรคับคั่งในช่วง 5-7 ปีข้างหน้า วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหารือวางแผนรองรับ

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ เปิดเผยความคืบหน้า โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่(แห่งเดิม) ระยะที่ 1 สร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศโดยเฉพาะขนาดของอาคารจะใหญ่เพิ่มเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับอาคารหลังเดิม หลุมจอดจากเดิมมี 24 หลุม เพิ่มเป็น 31 หลุมจอด สามารถรองรับเที่ยวบินได้ 31 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากปัจจุบันรับได้ 24 เที่ยวบินต่อชั่วโมง แต่เพื่อไม่ให้เป็นผลกระทบกับชุมชนก็จะไม่ให้เกิน 02:00 น. ก่อนจะมีไฟท์ต่อไปราว 06:00 น. จะเริ่มทำได้ในปี 2569 นี้ มีกำหนดเสร็จภายใน 5 ปี เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ราว 16.5 ล้านคนต่อปี

สำหรับสนามบินเชียงใหม่ปัจจุบันมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 8.5 ล้านคนต่อปี แต่ได้มีการบริหารจัดการสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 11.5 ล้านคนต่อปี สามารถรองรับได้ 24 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เมื่อโครงการระยะที่ 1 เสร็จ จากนั้นอีก 2 ปีจะเริ่มทำการปรับปรุง (Renovate) อาคารหลังเก่าทั้งหมดที่ใช้อยู่ปัจจุบันทำเป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศทั้งหมด ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารขึ้นมาเป็น 20-25 ล้านคนต่อปี

แผนการพัฒนาที่จะเริ่มในปี 2569 จะรองรับการเติบโตของสนามบินเชียงใหม่เขย่งแบบก้าวกระโดดและเป็นการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยทั่วไปสนามบินมีขีดจำกัด 3 ส่วน คือ 1.รันเวย์ ตอนนี้มีความพร้อมรองรับโบอิ้ง 747 เป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ รองรับเที่ยวบินระยะไกล (Long Haul) ใช้เวลาบินนาน 2.ลานจอดเครื่องบิน ซึ่งยังไม่พร้อมจึงต้องทำเป็นลานจอด 2 ชั้น จะมีการเชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสารโดยใช้สะพานเทียบเครื่องบินหรือทางเดินเชื่อม โดยมีผู้โดยสารชาวเกาหลีใต้และจีน เป็นกลุ่มตลาดหลักที่สลับกันขึ้นอันดับ 1 และ 2

สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ปัจจุบันเกาหลีใต้ยังครองอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือ จีน อันดับ 3 คือ ไต้หวัน และอันดับ 4 คือ มาเลเซีย ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คละกันไป ปัจจุบันก็ถือว่าเกินศักยภาพของสนามบินที่รับได้ 8.5 ล้านคนดังกล่าว แต่ได้บริหารจัดการด้วยการเกลี่ยเวลา เพื่อลดความคับคั่งและแออัด เช่น ไฟลต์ตีสอง-ตีสาม จากเชียงใหม่-ปักกิ่ง หรือเชียงใหม่-ไทเป ส่วนไฟลต์เช้า จากเชียงใหม่-ฮ่องกง เครื่องออก 6 โมงเช้า แต่ตีสามผู้โดยสารจะทยอยมารอขึ้นเครื่องแล้ว ดังนั้น สนามบินจะมีเวลาที่ไม่มีผู้โดยสารอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ของทุกวัน โดยช่วงเวลาที่ผู้โดยสารคับคั่งจะอยู่ในช่วง 1 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า ในส่วนของประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ความคับคั่งของการจราจรที่เข้าสู่บริเวณสนามบินในระยะ 5-7 ปีข้างหน้า เพราะปัจจุบันยังไม่มีโครงข่ายขนส่งสาธารณะที่เป็นระบบที่จะให้บริการผู้โดยสารจากสนามบินเชียงใหม่ไปยังที่ต่าง ๆ โดยถนนสายหลักที่เชื่อมกับสนามบินมี 2 เส้นทาง คือ ถนนมหิดลและถนนสายหางดง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักผ่านหน้าสนามบิน ปัจจุบันมีรถผ่านวันละ 20,000-30,000 คัน ถ้าสนามบินมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 20 ล้านคน รถที่จะเข้าออกสนามบินจะเพิ่มเป็น 50,000-60,000 คันต่อวัน เพิ่มเป็น 2 เท่า สนามบินกลายเป็นคอขวดการจราจรจะแน่นมาก จึงอยากให้ทางจังหวัด ขนส่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาคุยกันเรื่องนี้ เพื่อทำให้มีขนส่งสาธารณะที่เป็นระบบเพิ่มขึ้น

สำหรับเส้นทางการบินต่างประเทศที่บินตรงเข้าสู่เชียงใหม่ ปัจจุบันมี 20 เส้นทาง ครอบคลุมในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย อย่างเส้นทางกัวลาลัมเปอร์เคยบิน 10 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ปรับเพิ่มเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ก็เพิ่มเส้นทางบินเชียงใหม่-เกาสง และเชียงใหม่-ไต้หวัน และไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์ เพิ่มเส้นทางบินเชียงใหม่-เสิ่นเจิ้น

ส่วนเดือนตุลาคม 2568 สายการบิน Etihad เตรียมเปิดเส้นทางบินตรงจากอาบูดาบี-เชียงใหม่ จะทำการบิน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ภาพรวมทั้งหมดของ Route ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 22 Route

นาวาอากาศโทรณกร กล่าวด้วยว่า เมื่อแผนการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ทำครบทุกระยะเต็มระบบ จะเสริมศักยภาพให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางทางการบิน หรือ “ฮับการบิน” (Aviation Hub) ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางหลักในการเชื่อมต่อเที่ยวบินจำนวนมาก อย่างผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยุโรป-สหรัฐอเมริกา จะนิยมไปเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน หรือที่อินชอนและโตเกียว และต่อไปยุโรป-สหรัฐอเมริกา ซึ่ง Route การต่อเชื่อมของสายการบินจะทำให้เชียงใหม่ดูมีศักยภาพมากขึ้น ต่อไปหากจะไปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา อาจไม่ต้องไปสุวรรณภูมิ หรือดอนเมือง ซึ่งแนวโน้มมีความเป็นไปได้สูงว่า ตลาดกลุ่มตะวันออกกลาง เอเชียใต้(อินเดีย) ยุโรปและสหรัฐอเมริกา จะเป็นตลาดที่สำคัญของเชียงใหม่ในอนาคต

นอกจากนี้เชียงใหม่ต้องมาดูตัวเองว่า นอกจากเป็นฮับทางการบินแล้วจะเป็นฮับด้านไหนอีก และมีอะไรที่แข็งแรงบ้าง ซึ่งจะทำให้เพิ่มมูลค่าท้องถิ่น เพราะในข้อเท็จจริงผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวไม่ได้อยากมาเที่ยวสนามบิน แต่มาเพราะเราเป็นฮับทางการแพทย์ เพราะมีการแพทย์ดีโดยเฉพาะกลุ่มเกษียณหรือมาเพราะเราเป็นฮับด้านการศึกษา ต้องเอาศักยภาพของเชียงใหม่ขึ้นมาและมาร่วมมือกันจริงๆ ซึ่งท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ก็พร้อมเติบโตไปควบคู่กับอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวโลกในอนาคต.

You may also like

รัฐบาลอนุมัติงบฯเกือบ 1 พันล้านบาทย้ายสำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 สร้างใหม่พร้อมบ้านพัก แฟลตและอาคารจอดรถคาดเสร็จปี 70

จำนวนผู้