เชียงใหม่ / ภาคี สสส.เดือด จี้สรรพากรยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม แจงถูกรีดย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 โดยตีความ “สัญญาตัวแทน” เป็น “สัญญาจ้างทำของ” ทั้งที่ไม่ใช่ธุรกิจการค้า สร้างความเดือดร้อนให้ 131 โครงการ ในเครือข่ายขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนภาคเหนือ เมื่อเวลา 11.00 น. ตัวแทนจากมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ แกนนำเครือข่ายขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชนภาคเหนือ (ขสชน.) และตัวแทนภาคีเครือข่ายที่ได้รับความไม่เป็นธรรมจากการจัดเก็บภาษี ประมาณ 10 คน นำโดยนายวิวัฒน์ ตามี่ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือขอให้ยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม ต่ออธิบดีกรมสรรพากร ผ่านทางสรรพากรภาค 8 ที่ จ.เชียงใหม่นายวิวัฒน์ เปิดเผยว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้ ถือเป็นตัวแทนจาก 131 โครงการที่ได้รับความเดือดร้อน จากการที่สรรพากรพื้นที่เชียงใหม่ 1 สรรพากรภาค 8 เร่งรัดประเมินและจัดเก็บภาษีที่มาจากการตีความจ่ายเงินสนับสนุนโครงการของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่าเป็นสัญญาจ้างทำของ ทั้งที่เป็นการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.ภายใต้ข้อตกลงการเป็นตัวแทนเข้าร่วมดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพ กับ สสส.เป็นภาคีที่มีอุดมการณ์ร่วมกันและเข้ามาร่วมดำเนินงานในโครงการต่างๆ กับ สสส. ในลักษณะการปฏิบัติงานหรือจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนาชุมชน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูสุขภาพประชาชนตามกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เช่น เด็ก เยาวชน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ รวมถึงปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพ“การตีความว่าเป็นสัญญาจ้างทำของ ทำให้มีการคำนวณภาษีเหมาทั้งหมด ต้องติดอากรแสตมป์ 1,000 : 1 บาท และจะเก็บภาษีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 – 2559 ร้อยละ 2 บาท พร้อมกับค่าปรับย้อนหลังด้วย ขณะเดียวกันยังจัดให้โครงการที่ได้งบประมาณจัดกิจกรรมเกินกว่า 1.8 ล้านบาท เข้าข่ายธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) 7% ทั้งที่การดำเนินงานของโครงการไม่ใช่การประกอบกิจการทางธุรกิจการค้า และในส่วนของโครงการที่มีกิจกรรมต้องชำระภาษีตามกฎหมาย ก็มีการชำระภาษีรายได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ตามกฎหมายที่ประชาชนคนไทยที่มีรายได้พึงชำระเพื่อนำไปพัฒนาสังคม และประเทศชาติเรียบร้อยแล้ว” นายวิวัฒน์ กล่าวการเรียกเก็บภาษีในลักษณะ “สัญญาจ้างทำของ” กับภาคีซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลงการเป็น “ตัวแทนเข้าร่วมดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพ” กับ สสส. จึงเป็นการบิดเบือน และผิดหลักข้อเท็จจริงตามเงื่อนไขและแนวทางในการดำเนินงานและสนับสนุนของ สสส. ซึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน ทาง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ก็มีดำริเร่งรัดหารือ 3 ฝ่าย คือ สรรพากร สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และ สสส. เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่มาถึงปัจจุบันความเดือดร้อนจากการเรียกเก็บภาษียังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นทางเครือข่ายจึงขอแสดงจุดยืน และมี 2 ข้อเสนอแนะให้ทางกรมสรรพากรพิจารณา คือ 1) ขอให้ทางสำนักงานสรรพากรพื้นที่เชียงใหม่ 1 และสรรพากรพื้นที่จังหวัดอื่น สรรพากรภาค 8 ยกเลิกการประเมินภาษีและยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม และเร่งหาข้อสรุปทบทวนการตีความโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. จาก “สัญญาจ้างทำของ” ให้กลับมาเป็น “สัญญาตัวแทน” โดยเร็ว เพื่อให้การจัดเก็บภาษีถูกต้อง สอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงาน โดยผู้ดำเนินโครงการต่างก็เสียภาษี “ค่าตอบแทน” ตามเงื่อนไขกำหนดของ สสส. อยู่แล้ว2) ขอให้พิจารณาและตอบกลับหนังสือชี้แจงข้อมูลการดำเนินการ และการรับจ่ายเงินของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ วันที่ 10 ก.พ.2560 อ้างอิงเลขที่หนังสือ สสส.ฝ.5/323/2560 ที่ได้ชี้แจงชัดเจนถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในลักษณะ “สัญญาตัวแทน” ตลอดจนกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เหตุใดกรมสรรพากรไม่พิจารณาหรือตอบกลับ ซ้ำยังเร่งรัดจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมต่อองค์กรภาคประชาชนนอกจากนี้ เมื่อ 13 ม.ค.2559 นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว และต่อมามีความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นข้อโต้แย้งต่างๆ เป็นที่สิ้นสุดแล้ว หากกรมสรรพากร สรรพากรภาค 8 และสรรพากรพื้นที่เชียงใหม่กลับไม่นำมาพิจารณา ดังนั้นหากปัญญานี้ยังไม่ได้ข้อยุติ ภาคีสมาชิกเครือข่ายฯ จะนัดรวมตัวกันที่กรมสรรพากร และสรรพากรภาค 8 เพื่อติดตาม และให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปต่อมาในเวลาประมาณ 11.20 น. ทางนายภยันต์ บรรเทาทุกข์ นักวิชาการสรรพากรเชี่ยวชาญ ได้เป็นตัวแทนสรรพากรภาค 8 รับมอบหนังสือ พร้อมกับรับปากว่าจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เพื่อส่งให้ทางอธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาต่อไป.