ป่าไม้เชียงใหม่นำคำสั่งปิดประกาศ ให้เจ้าของรีสอร์ทบนม่อนแจ่มให้รื้อถอนภายใน 15 วัน หลังศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำพิพากษา ต้องคืนผืนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริมเนื้อที่กว่า 4 ไร่ แต่ให้อุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน
เมื่อที่ 25 เม.ย.2560 เวลา 10.30 น. นายราเชนทร์ ภุมมะภูติ ป่าไม้จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายเกียรติศักดิ์ กิจศักดิ์ รักษาการ ผอ.ส่วนป้องกันรักษาป่าฯ, นายพงษ์อรัญ ใสสอาดหัวหน้าสายตรวจปราบปรามฯ ประจำสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) ,นายไพโรจน์ บุญญรัตน์ศิริ หน.หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.12 (ห้วยทราย) กำนันตำบลโป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในสังกัดสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่)
ได้ร่วมกันติดป้ายประกาศคำสั่งสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) ที่ 68/2560 ลงวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2560 เรื่อง ให้รื้อถอนหรือทำลายแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยสั่งให้ นายก้อนแก้ว จันปิน จำเลยคดีความผิดยึดถือ ครอบครองฯ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม และเป็นเจ้าของพื้นที่ตรวจยึดในพื้นที่สถานที่ม่อนแจ่มชื่อ บ้านสวนศรีวิไล เนื้อที่ 4-1-64 ไร่ ทำการรื้อถอน หรือทำลายแก่สิ่งที่เป็นอันตราย หรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2560 ที่บริเวณด้านหน้าสถานที่ชื่อ บ้านสวนศรีวิไล หมู่ที่ 2 ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลัง บุกตรวจค้นรีสอร์ท หลายแห่งในพื้นที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากได้รับร้องเรียนว่ามีการก่อสร้างรีสอร์ทรุกพื้นที่ป่า ถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ และนำที่ดินมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ เจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) สนธิกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดน ได้เข้าตรวจสอบรีสอร์ทที่ก่อสร้างรุกพื้นที่ป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในพื้นที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
โดยได้ตรวจสอบรีสอร์ท 4 แห่ง คือ ม่อนม่วน ม่อนหนาว ม่อนหวาย และม่อนบอยฟ้า ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับม่อนแจ่ม แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโครงการหลวง ที่รีสอรท์ม่อนม่วน ผู้ครอบครองได้นำโฉนดที่ดินมาแสดง 3 งาน 35 ตารางวา ขณะที่รีสอร์ทม่อนหนาว และม่อนหวาย ไม่มีเอกสารสิทธิ์ มีเพียงเอกสารการซื้อขายเท่านั้น โดยที่ม่อนหนาว มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ส่วนม่อนหวาย มีกว่า4 ไร่ ส่วนรีสอร์ทม่อนบอยฟ้า ผู้ครอบครองได้นำเอกสารสิทธิ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่าพื้นที่ที่ตรวจสอบดังกล่าวเป็นป่าสงวน มีความลาดชันสูงและเป็นพื้นที่ป่า มีหลักฐานภาพถ่ายที่ชัดเจนว่าเป็นป่าสงวนแต่ก็ยังมีการออกโฉนดที่ดิน จึงต้องไปตรวจสอบการออกโฉนดว่าได้มาถูกต้องหรือไม่ และได้ดำเนินคดีกับรีสอร์ท ม่อนหนาว และม่อนหวาย ในข้อหาครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และ ครองครอบป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ปี 2484
จนกระทั่งศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 คดีหมายเลขดำที่ อ105/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ 3878 /2558 พิพากษาว่านายก้อนแก้ว จันปิน จำเลยกระทำผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 มาตรา 14 ฐาน”ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัย หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต”ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริมเนื้อที่ 4-1-64 ไร่
ทั้งนี้ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่)ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507 จึงสั่งให้นายก้อนแก้วผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองพื้นที่ให้รื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2560 หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่กำหนดโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ผอ.สำนักจัดการฯมีความจำเป็นต้องดำเนินการรื้อถอนเองโดยผู้เป็นเจ้าของหรือครอบครองต้องรับผิดชอบชดใช้หรือออกค่าใช้จ่ายเพื่อการนั้นทั้งหมด พร้อมเงินเพิ่มอีกร้อยละ 25 ต่อปีของค่าใช้จ่ายและยังมีความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนฯต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดยบุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 15 วัน.