มื้อเช้านับว่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะกับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโตที่ต้องการอาหารและพลังงานไปหล่อเลี้ยงสมอง และเซลล์ต่างๆ ของร่างกายให้เติบโตสมวัย แต่ปัจจุบันมื้อเช้าดูจะถูกละเลยไปโดยเฉพาะในวัยเด็ก
“ไม่มีเวลา ยังไม่หิว ตื่นสาย รีบไปโรงเรียน ผู้ปกครองไม่ทำให้ทาน” ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นข้ออ้างต้นๆ ของเด็กที่ปฏิเสธมื้อเช้าที่สำคัญนี้โรงเรียนตะพานหิน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ซึ่งมีนักเรียนมากกว่า 2,000 คน แม้จะเป็นโรงเรียนต่างจังหวัดแต่ก็ประสบปัญหานักเรียนมีพฤติกรรมไม่ทานมื้อเช้า ไม่ต่างจากเด็กในเมืองที่ดูเร่งรีบไปทุกสิ่ง
ดังนั้นทางโรงเรียนจึงได้จัดทำโครงการ “เช้านี้กินข้าวกันเถอะ” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักในการทานมื้อเช้า โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ภายใต้ชุดโครงการพลังเด็กและเยาวชนสร้างสุขภาวะชุมชน : เปลี่ยนโลกด้วยมือเรา Food for Change “พลังเด็ก กินเปลี่ยนโลก”น.ส.พัชรินทร์ พูลสวัสดิ์ นักเรียนชั้น ม.4 แกนนำโครงการ เล่าถึงสาเหตุของการไม่ทานมื้อเช้าของตนเองและเพื่อนๆ ว่า เพราะต้องตื่นเช้ามาโรงเรียน บางคนอยู่ต่างอำเภอต้องนั่งรถมาโรงเรียนตั้งแต่เช้ามืด บางคนพ่อแม่ไม่ได้ทำอาหารเช้าให้ บ้างก็รีบทำการบ้านก่อนเข้าเรียน ทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่พอช่วงพักเบรก หลายๆ คนจะรีบหาอะไรมาทานกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการบริหารเวลาในแต่ละวันไม่ดี จึงเกิดผลกระทบต่อเนื่องกันไปหมด
พัชรินทร์จึงอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาทานข้าวเช้ากันโดยเริ่มจากนักเรียนแกนนำ 5 คน แล้วขยายไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือ น้อง ม.1 ซึ่งเปรียบเสมือนต้นกล้าแรกเริ่มของโรงเรียนที่ต้องช่วยกันดูแลกิจกรรมจะเริ่มจากสร้างเยาวชนแกนนำเพิ่มอีก 15 คน รวมเป็น 20 คน ประชาสัมพันธ์โครงการชักชวนน้องๆ ม.1 ซึ่งได้สำรวจแล้วว่าไม่รับประทานอาหารเช้า ให้มาเข้าร่วมโครงการอีก 46 คน รวมผู้เข้าร่วมโครงการ 66 คน
จากนั้นก็พาน้องไปอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความตระหนักในการบริหารจัดการเวลา ประโยชน์ของมื้อเช้า โทษของการไม่ทานมื้อเช้า เช่น ปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย ส่งผลต่อการเรียน เป็นต้น ตลอดจนทำป้ายประชาสัมพันธ์ติดประกาศตามจุดต่างๆ ภายในโรงเรียน เพื่อเชิญชวนและให้ความรู้แก่นักเรียนกลุ่มอื่นๆ ผู้เข้าร่วมโครงการจะจดบันทึกประจำตัว เพื่อบันทึกข้อมูลการรับประทานอาหารเช้าในแต่ละวัน โดยเน้นรับประทานมาจากบ้านมากกว่ากินที่โรงเรียน ให้มีการทำตารางเวลาจัดลำดับความสำคัญ เพื่อไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงทำให้มีเวลาในการรับประทานอาหารเช้า
“เรายังยังส่งเสริมเรื่องของการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ “กินให้ครบจบที่ 5 หมู่” ด้วยการจัดกิจกรรมตอบคำถามร่วมสนุก จัดประกวดป้ายหรรษาพาเพลิน และแจกเมล็ดพันธุ์และกล้าผักให้น้องๆ ไปปลูกไว้รับประทานที่บ้าน ซึ่งน้องๆ เหมือนต้นกล้าแรกเริ่มของโรงเรียน เราจะต้องช่วยกันดูแลให้ต้นกล้านี้เจริญเติบโตอย่างสวยงาม” น้องพัชรินทร์ กล่าว
สำหรับการติดตามประเมินผลนั้น พัชรินทร์ บอกว่า หลังจากทำโครงการพบว่ามีการรับประทานอาหารเช้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 โดยให้แกนนำรุ่นพี่ประกบน้อง 2-3 คน เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด ในการสร้างความคุ้นเคย สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจคอยสอบถามน้องว่าได้ทานข้าวเช้ามาหรือไม่ ตรวจดูสมุดบันทึกของน้องๆ และการใช้โซเชียลมีเดียในการปลุกกระแส ซึ่งแต่ละวันน้องๆ ก็จะอัพรูปการทานข้าวเช้ามาอวดกัน
“การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกันก็จะสำเร็จ” น.ส.พัชรินทร์ เยาวชนแกนนำ ย้ำถึงความตั้งใจการทำงาน
ด้าน เด็กหญิงกวินธิดา ชำนงค์การ น้อง ม.1 กล่าวถึงการเข้าร่วมโครงการว่า ตอนที่พี่แกนนำมาสอบถามที่หน้าชั้นเรียน ว่า มีน้องๆ คนไหนไม่ทานข้าวเช้ามาบ้าง เธอไม่กล้ายกมือ ไม่มั่นใจ และไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการ เพราะคิดว่าพี่ๆ คงเลือกคนอื่นที่ดีกว่า แต่เมื่อเพื่อนๆ ชั้นเดียวกันชักชวนเลยลองเข้าร่วมดู ซึ่งได้ความรู้ ความสนุกสนานมาก ได้รู้ถึงข้อดีของอาหารเช้า และข้อเสียของการไม่กินอาหารเช้า และการกินให้ครบ 5 หมู่ จากแค่ก่อนจะไม่กินมื้อเช้าเลย มาตอนนี้จะกินข้าวเช้าทุกวันขณะที่ ทิพย์สุดา อ่อนพุทธา ครูที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า โครงการนี้มุ่งเน้นให้นักเรียนเป็นแกนนำในการทำทั้งหมด โดยครูมีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษา หลังจากตอบรับเข้าร่วมโครงการก็ให้แกนนำช่วยกันคิดโครงการด้วยตัวเอง ซึ่งเด็กๆ จะคิดมาในวงกว้างมากมาย ครูก็มีหน้าที่ช่วยตบประเด็น รวบรัดโครงการให้ ว่าอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้ ซึ่ง “เช้านี้กินข้าวเช้ากันเถอะ” เกิดขึ้นจากเรื่องใกล้ตัวของเยาวชนแกนนำทั้ง 5 คน ที่ไม่ชอบทานมื้อเช้าเลย ดังนั้นจึงคิดว่าทำในเรื่องใกล้ตัว น่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งก่อนและหลังโครงการได้มีการบันทึกข้อมูลสุขภาพเพื่อเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการอีกทางหนึ่ง
นอกจากกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพแล้ว เด็กๆ ยังได้รู้จักการทำงานเป็นทีม มีจิตอาสา พัฒนาศักยภาพการเป็นผู้นำ ซึ่งแกนนำ 5 คน ที่ทำโครงการนี้ ไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนดีที่สุด หรือเป็นแกนนำของโรงเรียนมาก่อนเลย แต่เราเปิดโอกาสให้เด็กๆ ทุกคนได้สร้างความเป็นผู้นำให้กล้าพูด กล้าแสดงออก กล้านำเสนอ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสังคม ได้รับประสบการณ์มากมาย
“เช้านี้กินข้าวเช้ากันเถอะ” แม้จะเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ของน้องๆ แกนนำ แต่สามารถขยายผลไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเรียนทั้งโรงเรียนได้ เหนืออื่นใด การที่น้องๆ ได้พัฒนาศักยภาพ ตลอดจนการสร้างเครือข่ายและเยาวชนในการมีบทบาทต่อชุมชน สังคม และการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงโลกรอบตัว.