กลุ่มต่างชาติด้านดิจิตอล คอมแมนชี้ปัญหาระบบวีซ่าไทยเป็นอุปสรรคต่อการพำนักในพื้นที่

กลุ่มต่างชาติด้านดิจิตอล คอมแมนชี้ปัญหาระบบวีซ่าไทยเป็นอุปสรรคต่อการพำนักในพื้นที่

กลุ่มธุรกิจชาวต่างชาติที่ทำงานด้านดิจิตอลจาก 44 ประเทศที่ทำงานในเชียงใหม่ เผยอุปสรรคสำคัญของการพำนักในเชียงใหม่คือระบบวีซ่าของไทย ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการออกไปต่อวีซ่าในประเทศที่ 3 กว่า 3 แสนบาทเฉพาะค่านายหน้ารายละ 6 หมื่น ชี้หากรัฐบาลไทยปรับนโยบายจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ แจงแต่ละคนมีค่าใช้จ่ายในการพำนักในพื้นที่กว่า 3.5 หมื่นคนต่อเดือน

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.62 ที่Chiangmai&Co (ปันสเปซ สาขาเวียงแก้ว) กลุ่มผู้ประกอบการเชียงใหม่ (Chiang Mai Entrepreneurship Association : CMEA) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านไมซ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  จัดแถลงข่าวงาน Digital Nomads Visa ซึ่งเป็น ผลการสำรวจกลุ่ม ดิจิตอลนอร์แมด (digital nomads) หรือกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานด้านดิจิตอล และเดินทางมาพักในเชียงใหม่ และสามารถทำงานในสถานที่ต่าง ๆ เช่น Co-working space ต่าง ๆ ได้

นางสาวลิลลี่ บรันส์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม ผู้ประกอบการเชียงใหม่ (Chiang Mai Entrepreneurship Association : CMEA) เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจาก กลุ่มดิจิตอลนอร์แมด อันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งนี้ทางกลุ่ม CMEA ฯได้ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามทางออนไลน์ ที่รวบรวมจากผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามมากกว่า 300 ราย เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่าย รูปแบบการเคลื่อนไหว และข้อกังวลเกี่ยวกับวีซ่าของบรรดา Digital Nomad ในเชียงใหม่

นางสาวลิลลี่ กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่ม Digital Nomad คือกลุ่มชาวต่างชาติผู้ทำธุรกิจที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ และผู้รับจ้างอิสระ สะท้อนถึงกลุ่มประชากรใหม่จำนวนมากที่ยังไม่ได้รับความเข้าใจ และยังไม่มีตัวแทนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามเชียงใหม่เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่เป็นศูนย์รวมของ Digital Nomad และนับเป็นจังหวัดที่มีประชากรกลุ่มนี้อยู่อย่างหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การสำรวจในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และมีความแม่นยำ โดยคาดหวังว่าจะช่วยเป็นแหล่งข้อมูลหนึ่งสำหรับการสร้าง หรือดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการดึงดูด และรักษาชาวต่างชาติ ผู้มีความสามารถในเชียงใหม่

ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า กลุ่มดิจิตอล นอร์แมด ที่ตอบแบบสอบถามมาจาก 44 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่มาจาก สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร โดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 30-40 ปี  มีอาชีพทางด้านโค้ดดิ้ง การตลาด และธุรกิจออนไลน์ และ มีการศึกษา ในระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 10 ปี และ สร้างรายได้กว่า 1 แสนบาทต่อเดือน มีค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในเชียงใหม่ เฉลี่ยคนละกว่า 3 หมื่นบาทต่อเดือน โดยกลุ่มดิจิตอล นอร์แมดนี้เริ่มเข้ามา ในเชียงใหม่กว่า 10 ปี แต่เริ่มนิยมเข้ามามากขึ้นตั้งแต่ปี 2557 และเข้ามามากที่สุดปี 2560 โดยส่วนใหญ่จะเข้ามาอยู่มากในช่วงเดือน ตุลาคม – มกราคม ในฤดูหนาว และน้อยลงในช่วงฝุ่นควัน โดยมีสถานที่ทำงานที่นิยม คือ co-working space โดยเฉพาะ CAMP ที่ห้างเมญ่า และ Pun Space

นอกจากนี้กลุ่มดิจิตอล นอร์แมดนี้ไม่เพียงใช้จ่ายประจำวัน กว่าคนละ 35,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น แต่ยังมีการใช้จ่ายในการท่องเที่ยว เฉลี่ยปีละกว่า 2 แสนบาท อย่างไรก็ตามจากการสำรวจปัญหาอุปสรรคของกลุ่มดิจิตอล นอร์แมดคือปัญหาระบบวีซ่าของไทย เนื่องจากระบบวีซ่าในปัจจุบันทำให้กลุ่มนี้ต้องเดินทางออกนอกประเทศเพื่อต่อวีซ่า และมีค่าใช้จ่ายในการออกนอกประเทศอีกกว่า 3 แสนบาท ซึ่งหากรัฐบาลไทยมีการปรับนโยบายให้ ดิจิตอล นอร์แมด สามารถทำวีซ่าในไทยได้สะดวก และมีระยะเวลาพำนักนานมากขึ้น จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของพื้นที่ เนื่องจากการสำรวจพบว่า ดิจิตอล นอร์แมด มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการหาทางต่อวีซ่าผ่านนายหน้าต่างๆ กว่า 6 หมื่นบาทต่อราย

นางสาวลิลลี่ ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับการสำรวจครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในเชียงใหม่ โดยทางคณะเศรษฐศาสตร์ มช. จะร่วมกับ CMEA ต่อไป ในการวิเคราะห์คุณค่าทางสังคม และเศรษฐกิจที่ ดิจิตอล นอร์แมด ได้สร้างให้เชียงใหม่ เพื่อเสนอแนวทางให้รัฐบาล สามารถสร้างคุณประโยชน์จากการที่เชียงใหม่ มีดิจิตอล นอร์แมด จำนวนมาก เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ธุรกิจท้องถิ่น หรือเยาวชน การเชื่อมต่อธุรกิจ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป ซึ่งจากการสำรวจยังพบว่า โฮจิมินห์ ของเวียดนามถือเป็นคู่แข่งสำคัญของเชียงใหม่ ซึ่งได้เปรียบในเรื่องวีซ่า จึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญและหาทางพัฒนาโดยเร็วต่อไป

ส่วนทางด้านนางสาวชฎาธช จันทนพันธ์ หัวหน้าส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า ทางหน่วยงานยังได้ร่วมกับChiangmai&Co ,NIA และภาคเอกชนในการผลักดันการสร้างนวัตกรรมที่จะช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้ร่วมมือกับ BOI ออกแบบสมาร์ทวีซ่า ซึ่งเป็นวีซ่าประเภทพิเศษสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจจะทำธุรกิจหรือลงทุนในประเทศไทยในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้สามารถอยู่ในประเทศไทยได้นานขึ้น เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติผู้เชี่ยวชาญ มีทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้บริหารระดับสูง นักลงทุนและผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเข้ามาในประเทศไทยด้วย โดยทาง NIA เองก็จะสร้างChiangmai&Co ให้เป็นChiangmai Startup Valley ที่มีความพร้อมและตอบโจทย์ผู้คนที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ เน้นให้บริการแบบครบวงจร ณ จุดเดียว One Stop Service สำหรับสตาร์ทอัพในภาคเหนือผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่มาร่วมสร้างระบบนิเวศน์ที่เหมาะสมต่อการเกิดธุรกิจสตาร์ทอัพด้วย.

You may also like

เกษตรกร ชี้ซีพีเป็นรายเดียวเข้มนโยบายตรวจสอบย้อนกลับ ไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และที่มาจากการเผา

จำนวนผู้