สสส.หนุน 15 ตำบลขับเคลื่อนลดโลกร้อน ชี้กระทบวิถีดำรงชีวิตของประชาชน

สสส.หนุน 15 ตำบลขับเคลื่อนลดโลกร้อน ชี้กระทบวิถีดำรงชีวิตของประชาชน

เชียงราย / เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ 15 แห่ง ประกาศรับมือสภาวะโลกร้อนเป็นวาระเร่งด่วน หลังพบชุมชนเจอทั้งร้อนยาวนาน หนาวหดสั้น ฝนหนัก พายุรุนแรง สร้างผลกระทบต่อภาคการผลิตและสุขภาพ เร่งสร้างศูนย์เรียนรู้ตำบลลดโลกร้อน หวังลดความเสียหาย คาดอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีกว่า 300 ตำบลร่วมขับเคลื่อนลดโลกร้อนเมื่อวันที่ 11 มี.ค.62 ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภาคเหนือตอนบน เทศบาลตำบลหงาว อ.เทิง จ.เชียงราย มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน โดยภาคีเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่ 8 แห่ง อาทิ อบต.สำโรงตาเจ็น อ.ขุขันธุ์ จ.ศรีสะเกษ, อบต.ยางขี้นก อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี, อบต.เก่าย่าดี อ.แก่งคร้อ จ.ชัยภูมิ, อบต.บ้านหยวก อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี, ทต. บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่, อบต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี, และ ทต.หงาว อ.เทิง จ.เชียงราย รวมทั้งภาคีเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนน่าอยู่ที่ขับเคลื่อนมาแล้วก่อนหน้านี้อีก 7 แห่งเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วยนายสมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ได้นำสมาชิกเครือข่ายประกาศความมุ่งมั่นด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน โดยย้ำถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือสภาวะโลกร้อน ดังสายพระเนตรอันยาวไกลของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำรัสว่าบางตอนเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2532 ว่า “สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าเพราะมีสารคาร์บอนขึ้นไปในอากาศมาก จะทำให้เหมือนเป็นตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น” รวมถึงพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัส ในหลายโอกาส ซึ่งทรงห่วงใยต่อสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่จึงรวมพลังทุกภาคส่วน ร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อการรับมือภาวะโลกร้อน ด้วยความสอดคล้องกับวาระของโลก คือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ (Sustainable Development Goals – SDGs) 17 เป้าหมาย ในด้านสิ่งแวดล้อม 7 เป้าหมาย เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน 3 ประการ ได้แก่ 1. ร่วมสร้างและพัฒนาองค์ความรู้การรับมือภาวะโลกร้อนระดับพื้นที่ อันสอดคล้องกับภูมิสังคม และขับเคลื่อนโดยทุนทางสังคมของชุมชนท้องถิ่น โดยร่วมมือกับสถาบันวิชาการ และคณะผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินการ 2.รวมพลังชุมชนท้องถิ่นเพื่อการรับมือสภาวะโลกร้อน โดยให้ความสำคัญกับการน้อมนำศาสตร์พระราชา และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มาเป็นปฏิบัติการชุมชนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปประธรรม และ 3. ต่อยอดขยายผลปฏิบัติการระดับพื้นที่เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อนระดับชุมชนท้องถิ่น เพื่อนำการเผยแพร่ความรู้และปฏิบัติการชุมชนให้กับเครือข่ายเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ด้าน น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า 15 พื้นที่ถือเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้เรื่องโลกร้อนเป็นวาระของประชาชนในตำบลนั้น เนื่องจากภาวะโลกร้อนกำลังสร้างผลกระทบต่อท้องถิ่น จะเห็นได้จากฤดูร้อนยาวนานขึ้น ฤดูหนาวสั้นลง ภาวะแห้งแล้งในช่วงฤดูแล้งรุนแรงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศย่อมผลกระทบต่อภาคการผลิต การสาธารสุขก็กระทบตามมา ดังนั้นถ้าไม่ทำเรื่องลดโลกร้อนหรือจัดการน้ำ ชุมชนท้องถิ่นย่อมอยู่อย่างลำบาก นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนยังจะทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร เพราะทรัพยากรจะลดน้อยลง ขณะเดียวกันโรคที่เคยควบคุมได้ เช่น อหิวาตกโรค ก็จะควบคุมไม่ได้ ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกมีการคาดการณ์ ว่าระหว่างปี ค.ศ.2030 – 2050 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 250,000 คนต่อปี เนื่องจากโรคที่มาพร้อมกับโลกร้อน การขาดสารอาหาร ท้องร่วง และความเครียดจากความร้อน“การตั้งรับของชุมชนท้องถิ่น จะบรรเทาความรุนแรงลงได้จาก 10 ส่วน อาจได้รับผลกระทบแค่ 6 ส่วน หรือถ้าตั้งรับดีก็อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่านั้น จึงขอให้กำลังใจทั้ง 15 ตำบลในการที่จะทำให้เรื่องโลกร้อนเป็นวาระของประชาชนในตำบลของตัวเองโดยเร็ว และต่อไป อบต. /เทศบาล ทั้ง 15 แห่งนี้ จะเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับชุมชนท้องถิ่นอีกอย่างน้อย 20 แห่ง ตนจึงเชื่อว่าในอีก 2 ปีต่อจากนี้ จะมีชุมชนท้องถิ่นประมาณ 300 แห่งร่วมกันขับเคลื่อนเรื่องลดภาวะโลกร้อน” ผู้อำนวยการสำนัก 3 กล่าว.

You may also like

builds มช. ขนทัพสตาร์ทอัพนักศึกษาคับคั่ง พิสูจน์ความสำเร็จ ตั้งบริษัทจริงระหว่างเรียน

จำนวนผู้