รวบ 2 มือเผาทำไฟไหม้ป่าอุทยานดอยสุเทพ-ปุยลามทั่วบ้านปง

รวบ 2 มือเผาทำไฟไหม้ป่าอุทยานดอยสุเทพ-ปุยลามทั่วบ้านปง

รวบสองมือเผาป่าดอยสุเทพ ตำรวจสืบจากพื้นที่พบต้นเพลิงเผาจากพื้นที่ทำกิน เจ้าตัวรับสารภาพเผาจริงแต่ไฟลามเข้าพื้นที่เสียหาย 60 ไร่ ผบช.ภาค 5 ยันสืบจับได้หลายคดีอยู่ระหว่างทำสำนวน ด้านผู้ว่าฯย้ำบังคับใช้กม.เข้มงวด เจอทั้งพรบ.ป่าสงสนฯและฝ่าฝืนคำสั่งประกาศจังหวัดโทษจำคุก 10 ปีปรับ 2 แสนและทั้งจำ ทั้งปรับ

เมื่อเวลา 14.45 น.วันที่ 31 มี.ค.63 ที่สภ.หางดง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน. ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี ผบก.สส.ภ.5 พลตรีสืบสกุล บัวระวงศ์ ผบ.มทบ.33 และนายวุฒิชัย โสมวิภาต หน.อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวนายศิริ รติพรประเสริฐ อายุ 57 ปีอยู่บ้านเลขที่ 17/1 หมู่ 11 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายกวีพัฒน์ แสนยาเกียรติคุณ อายุ 49 ปีอยู่บ้านเลขที่ 155/2 หมู่ 6 ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ในข้อหา”ก่อสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ”

นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผวจ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดไฟไหม้ป่าดอยสุเทพ-ปุย ทางจังหวัดได้ประสานบูรณการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนหาตัวผู้ลักลอบเผา ซึ่งยืนยันว่าไฟที่เกิดขึ้นเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ดังนั้นการดำเนินคดีอาจจะล่าช้าบ้างเพราะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และการดำเนินคดี การสืบสวนสอบสวนเป็นไปอย่างรัดกุม และการดำเนินคดีจะใช้กับทุกพื้นที่ๆเกิดไฟไหม้ ซึ่งทางผบช.ภ.5 และผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ยืนยันจะไม่ทิ้งเพราะคดีนี้มีอายุความนานสามารถดำเนินการเอาผิดย้อนหลังได้หากการสืบสวนพบหลักฐานชัดเจน  เพราะผู้กระทำผิดได้สร้างความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งจังหวัดด้วย

พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผบก สส.ภ.5 กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ได้เกิดเพลิงไหม้เผาป่าพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยสุเทพ ทำให้มีเพลิงไหม้ลุกลามเผาพื้นที่ป่า เสียหายมากกว่า 60 ไร่ อีกทั้งสัตว์ป่าหายากนานาพรรณต้องจบชีวิตลงเพราะไฟป่า ทั้งนี้จนท.ตำรวจได้แบ่งพื้นที่เกิดเหตุำฟไหม้จากจุดตวามร้อนที่พบออกเป็น 4 ทางๆ แรก ต.บ้านปง อ.หางดง ซึ่งได้ลงสอบสวนพื้นที่เกิดไฟร่วมกับพิสูจน์หลักฐานพบอุปกรณ์จุดไฟวางบริเวณขอบไร่ ซึ่งเจ้าของสวนยอมรับสารภาพว่าเป็นคนเผาเอง

ส่วนอีกจุดคือไฟไหม้บริเวณดอยสุเทพ จากการจุดไฟที่บริเวณน้ำตกมณฑาธารและไฟลาม คดีนี้อยู่ที่สภ.ภูพิงค์โดยจับตัวผู้ต้องหาได้เมื่อ 23 มี.ค.63 ส่วนที่ 3 เป็นไฟไหม้บริเวณพื้นที่ของทหารขอใช้ประโยชน์และไฟลามไปทางต.แม่แรม อ.แม่ริม ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวน และอีกทางคือไฟไหม้บนดอยสุเทพ-ปุยบริเวณผาดำ ขุนช่างเคี่ยนซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนเช่นกัน

นายวุฒิชัย โสมวิภาต หน.อุทยานดอยสุเทพ-ปุย กล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่อุทยานได้ระดมทุกหน่วยงานกว่า 1,000 คนเข้าระงับเหตุเพลิงไหม้ป่าครั้งนี้และก็พบว่าต้นเพลิงของการเผาป่าอยู่บริเวณจุดท้องที่เขตป่าหมู่ 9 บ้านทุ่งโป่งใต้ ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ทางเจ้าหน้าที่จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสภ.หางดง ให้สืบสวนสอบสวนหาตัวคนลงมือเผาป่า โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เผาป่าก็พบร่อยรอยการนำน้ำมัน และไม้ มาก่อเป็นการจุดไฟ จากการสอบสวนจึงได้ออกหมายจับนายศิริ และนายกวีพัฒน์ และบุกเข้าจับกุมตัวในวันนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้่นผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การรับสารภาพว่าไม่ได้ตั้งใจเผาป่า เพียงแต่จุดไฟเผาบริเวณพื้นที่ตัวเองเพื่อทำแนวกันไฟ แต่ไม่คาดเนื่องจากอากาศร้อน และพื้นที่แห้งแล้งทำให้เกิดการลุกลามและควบคุมไม่อยู่ จนเป็นเหตุเหล่านี้ขึ้นมา

พลตำรวจโทประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่าหลังเกิดไฟไหม้ในเขตป่าและอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ -ปุย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้บูรณการกันทุกภาคส่วนได้แบ่งจุดเฝ้าระวัง ซึ่งไฟป่าดอยสุเทพ นั้นจากการตรวจสอบเกิดขึ้นทั้งหมด 4 จุดจุดแรกในอำเภอหางดง ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย จุดที่สองแถวป่าแถวดอยสุเทพ ซึ่งทาง ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย ส่วนจุดที่สามบริเวณขุนช่างเคี่ยน และจุดที่ 4 บริเวณหลังอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะขยายผลหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี เนื่องจากการเผาป่าล่าสัตว์และเผาป่าเพื่อทำแนวกั้นไฟ นั้นส่งผลทำให้ไฟไหม้ป่าลุกลามเสียหายมากถึง 2,500 ไร่ และทำให้เกิดปัญหาหมอกควันซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ด้วย.

You may also like

“ส.ว.ก๊อง”ลั่นลงสมัครป้องกันแชมป์สมัยหน้าในนามพรรคเพื่อไทย แย้มครั้งนี้ “ทักษิณ” ขอเป็นผู้ช่วยหาเสียง พร้อมลงพื้นที่ 25 อำเภอ

จำนวนผู้