รมช.คลังเปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ คาดปีนี้มีธุรกรรมการเงินสะพัดมากกว่า 35,000 ล้านบาท เผยเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายแนวโน้มดีทั้งส่งออกและท่องเที่ยว

รมช.คลังเปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ คาดปีนี้มีธุรกรรมการเงินสะพัดมากกว่า 35,000 ล้านบาท เผยเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายแนวโน้มดีทั้งส่งออกและท่องเที่ยว

- in headline, เศรษฐกิจ

รมช.คลังเปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ คาดปีนี้มีธุรกรรมการเงินสะพัดมากกว่า 35,000 ล้านบาท เผยเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายแนวโน้มดีทั้งส่งออกและท่องเที่ยว เชื่อจีดีพีโตกว่าที่ประมาณการไว้ 3.8

ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลแอร์พอร์ตพลาซ่า เชียงใหม่ นายวิสุทธิ์  ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่  ครั้งที่ 12  MONEY EXPO CHIANGMAI  2017 ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมการเงิน 4.0 Financial Innovation 4.0” โดยมีธนาคาร สถาบันการเงิน องค์กรภาครัฐและเอกชนรวม 37 แห่ง พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินการลงทุนอย่างครบวงจร เพื่อให้ประชาชนชาวเชียงใหม่และภาคเหนือได้เลือกใช้บริการภายในงานอย่างเต็มที่

รมช.คลัง กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมการเงินครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐและ เอกชน เพื่อสนับสนุนประชาชนมาใช้บริการ เพราะใกล้ช่วงสิ้นปีซึ่งมีสถาบันการเงิน การลงทุนต่างๆ มานำเสนอผลิตภัณฑ์มากมาย และอาจจะได้ใช้สิทธิประโยชน์ภาษีจากกองทุนต่างๆ ที่มานำเสนอในงานครั้งนี้ด้วย โดยปีที่ผ่านมาทราบว่าการจัดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่นี้มีการทำธุรกรรมทางการเงินกว่า 35,000 ล้านบาท และในปีนี้เชื่อว่าน่าจะมากกว่าเดิม เพราะบรรยากาศน่าจะคึกคักกว่า

“สัดส่วนงบประมาณ R&D ต่อจีดีพีเพียง 0.6% ห่างจากค่าเฉลี่ยประเทศโออีดี เกาหลีมีงบฯนี้ 4% กว่าและไทยพยายามตั้งเป้าให้ได้ 1% แต่ด้วยงบฯที่จำกัดจึงต้องขอความร่วมมือภาครัฐ และเอกชนมาร่วมมือกันสร้างอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่แฝงในระบบราชการต่างๆ ในรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน ที่สำคัญสุดคือภาคเอกชน โดยรัฐบาลพยายามสร้างแรงจูงใจในด้านภาษี ทั้งงานวิจัยและนวัตกรรมในกลุ่มเอสเอ็มอี รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจในเรื่องยุทธศาสตร์ในเรื่องการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มาดูแลงบประมาณเพื่อเกื้อกูลสนับสนุนกัน”นายวิสุทธิ์ กล่าวและชี้แจงอีกว่า

เรื่องของคนจะทำอย่างไรให้สู่ระบบ R&D ได้โดยไม่มีอุปสรรค ซึ่งจะเห็นได้ว่าการพัฒนาไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง มีขีดความาสามารถสูงขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชนต้องรับมือและปรับตัว โดยเฉพาะภาคการเงินที่มีการนำซิมเทคมาใช้ทำให้การทำธุรกรรมการเงินเปลี่ยนรูปโฉมไป โดยเฉพาะการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น

ปี 2544 มีคนใช้มือถือ 15 ใน 100 คน แต่ปี 59 มีคนใช้ 98 ใน 100 คน และในเมืองไทยมีคนใช้มือถือ 100 ละ 144 ซึ่งคือคนหนึ่งมีมากกว่า 1 เครื่อง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนไทยจะเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น ในปี 2559 มีผู้ใช้ไอแบงก์กิ้ง 36 ล้านคน เพิ่มจากเดิม 39.83% แสดงว่าประเทศไทยก้าวสู่สังคมที่ไม่ใช้เงินสด

นายวิสุทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับภาวะเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายจากสศค.ประมาณการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยน่าจะถึง 3.8 และปีหน้าก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะด้านการส่งออกพบว่าดีขึ้นมากในช่วง 7 เดือนติดต่อกัน ภาคการท่องเที่ยวก็ดีขึ้น การลงทุนภาครัฐเริ่มส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ การบริโภคภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น การลงทุนเอกชนดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจากทุกค่ายก็บอกว่าดีขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้.

You may also like

“ส.ว.ก๊อง”ลั่นลงสมัครป้องกันแชมป์สมัยหน้าในนามพรรคเพื่อไทย แย้มครั้งนี้ “ทักษิณ” ขอเป็นผู้ช่วยหาเสียง พร้อมลงพื้นที่ 25 อำเภอ

จำนวนผู้